การรักษาโรคปวดหลัง (Back pain) เป็นไปตามสาเหตุของอาการปวดและการวินิจฉัย เมื่อมีอาการปวดหลังทั่วไป ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองเบื้องต้น เช่น การพักหรือลดการใช้งานกระดูกสันหลัง การควบคุมอาการปวดด้วยยาแก้ปวดตามอาการ การทำกายภาพพื้นฐานเบื้องต้น เช่น การประคบร้อน และยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวด

อย่างไรก็ตาม หลังจากการดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วพบว่าอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดหลังที่มีสัญญานเตือนในทางที่ไม่ดี (Red Flag Signs) ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาโรคปวดหลังแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และการรักษาแบบผ่าตัด

คลิกอ่านหัวข้อที่ท่านสนใจ
  1. อาการปวดหลัง มีกี่แบบ
  2. Red Flag Signs อาการปวดหลังแบบไหนอันตราย ต้องรีบพบแพทย์
  3. การตรวจวินิฉัยโรคปวดหลัง
  4. วิธีรักษาอาการปวดหลัง แบบไม่ผ่าตัด
  5. วิธีรักษาด้วยการ ‘ผ่าตัดหลัง’ และเทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน
  6. ทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสมิติเวช
  7. ห้องผ่าตัด Critical Care Complex (CCC) นวัตกรรมการผ่าตัดยุคใหม่
  8. การตรวจคัดกรองก่อนผ่าตัด (COVID-19 Screening)
  9. บริการ Samitivej PACE ติดตามคนไข้ทุกสถานะการผ่าตัด
  10. บริการ Samitivej PROMPT พร้อมอยู่ข้างคุณทุกเวลา เมื่อพักรักษาในโรงพยาบาล
  11. ผ่าตัดหลัง ผ่าตัดกระดูกสันหลัง ราคาเท่าไหร่ ใช้สิทธิประกันภัยได้หรือไม่

อาการปวดหลัง มีกี่แบบ

ถ้าแบ่งตามช่วงเวลาของอาการ อาการปวดหลัง ได้แก่

  • ปวดฉับพลัน (Acute: ปวดหลังต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์)
  • กึ่งเฉียบพลัน (Subacute: ปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์)
  • ปวดเรื้อรัง (Chronic: ปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์)

Red Flag Signs อาการปวดหลังแบบไหนอันตราย ต้องรีบพบแพทย์

  • ปวดหลังต่อเนื่อง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 4 สัปดาห์
  • ปวดหลังที่เกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง เช่น อุบัติเหตุจราจร ตกจากที่สูง
  • ปวดหลังร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาท เช่น ปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา ชาขา หรืออ่อนแรงของขา
  • ปวดหลังร่วมกับการควบคุมการขับถ่ายที่เสียไป เช่น สูญเสียการกลั้นอุจจาระ/ปัสสาวะ
  • ปวดหลังร่วมกับอาการไข้ น้ำหนักลด

ถ้าคุณเริ่มมีอาการปวดหลังแบบ Red Flag Signs แล้ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ คุณสามารถทำนัดวิดีโอคอลคุยกับคุณหมอทางออนไลน์ได้ทันที หากอยู่ในเวลาทำการของแพทย์ หรือเลือกปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ

การตรวจวินิจฉัยโรคปวดหลัง

การวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการปวดหลัง ถือเป็นหัวใจสำคัญขั้นแรกในการรักษาโรคปวดหลังให้ประสบผลสำเร็จ การวินิจฉัยโรคปวดหลังมีวิธีการทางการแพทย์ดังนี้

  1. การซักประวัติ ประวัติและลักษณะอาการปวด ระยะเวลา ตำแหน่งที่ปวดเช่น ปวดหลังช่วงล่าง บริเวณช่วงเอว ปวดกลางหลัง ปวดสะบักจนถึงคอ อาการแสดงร่วม ประวัติการบาดเจ็บ ประวัติการรักษา รวมถึงภาวะโรคประจำตัว เป็นต้น
  2. การตรวจร่างกาย
    • ตรวจตำแหน่งที่มีอาการปวด ตรวจการเคลื่อนไหว ความยืนหยุ่น ความผิดรูปของกระดูกสันหลัง
    • การตรวจการทำงานของระบบประสาท ได้แก่การตรวจความรู้สึก ตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ การตรวจความไวต่อการกระตุ้นระบบประสาท (Reflex)
  3. การส่งตรวจทางห้องปฎิบัติการ
    • การตรวจ X-ray แบบปกติ ใช้ประเมินความผิดรูปของกระดูกหลัง ประเมินการหักของกระดูก
    • การตรวจ X-ray พิเศษ เช่น CT Scan หรือ MRI โดยเครื่อง MRI รุ่น 3.0 Tesla ที่มีเสียงเบาลง 35-50% และ Scan เร็วขึ้น 25-35% ใช้ประเมินภาวะการตีบของโพรงเส้นประสาท ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท การติดเชื้อ หรือเนื้องอกของกระดูกสันหลัง
รูปที่ 1 เครื่อง MRI: Ingenia Ambition 3.0 Tesla

อย่าปล่อยให้อาการปวดหลังรบกวนคุณภาพชีวิต เลือกปรึกษาออนไลน์ หรือรับคำปรึกษาที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ

วิธีรักษาอาการปวดหลัง แบบไม่ผ่าตัด

เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เพื่อลดอาการปวดเป็นหลัก (Pain Management) ได้แก่

  1. การรักษาด้วยยา

    ยาที่เหมาะสม ได้แก่ ยาลดอาการปวดและการอักเสบของกล้ามเนื้อ (NSAIDS) ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาสำหรับลดอาการปวดจากปลายประสาท อย่างไรก็ดี การให้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ใช้ยาชนิดอื่นๆ อยู่เป็นประจำ ควรคำนึงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการรับประทานกลุ่มยาแก้ปวดด้วย

  2. การทำกายภาพบำบัด

    เป็นหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาโรคปวดหลังแบบไม่ผ่าตัด เช่น การประคบร้อน การทำ Ultrasound, Laser, Shockwave Therapy, การบริหารกล้ามเนื้อที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดหลังในอนาคต (ดูข้อมูลเพิ่มเติม ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด ครบวงจร โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมทีมนักกายภาพบำบัดที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์)

  3. การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงหลัง (Back Support or Brace)

    การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงหลังสำหรับอาการปวดหลัง มักมีประโยขน์ในระยะสั้น สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น อาการปวดลดลง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สำหรับพยุงหลังในผู้ป่วยหลังผ่าตัดกระดูกสันหลังได้อีกด้วย

  4. การทำหัตถการบริเวณกระดูกสันหลัง

    เช่น การฝังเข็ม การฉีดยาบล็อกกล้ามเนื้อ (Trigger Point) การฉีดยาบล็อกข้อต่อ Facet การฉีดยาเข้าโพรงเส้นประสาท (Epidural Steroid Injection) โดยประโยชน์ของการทำหัตถการ คือ ลดอาการปวด และช่วยยืนยันการวินิจฉัย ซึ่งการทำหัตถการต่างๆ เหล่านี้ เป็นการรักษาโรคปวดหลังแบบไม่ผ่าตัดที่ได้ผลดี มีความเสี่ยงน้อย (สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทางได้ที่ ศูนย์กระดูก ข้อ กระดูกสันหลัง และการแพทย์กีฬา)

  5. แพทย์ทางเลือก

    เช่น Chiropractor เป็นการปรับสมดุลของกระดูกสันหลังเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังและลดอาการปวด หรือ การฝังเข็ม การนวดกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ

วิธีรักษาด้วยการ ‘ผ่าตัดหลัง’ และเทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน

การรักษาอาการปวดหลังด้วยวิธีการผ่าตัด อาจพิจารณาผ่าตัดในผู้ป่วยที่อาการไม่ทุเลาจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่มีการทำงานของเส้นประสาทที่เสียไป เช่น กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง การทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดควบคุมการขับถ่ายเสียไป

ทางเลือกในการรักษาแบบผ่าตัด การพิจารณาทางเลือกในการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปแบ่งการผ่าตัดกระดูกสันหลังออกเป็น 2 กรณี ได้แก่

  1. การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาท (Nerve Decompression)

    เป็นการผ่าตัดเพื่อระบาย (Decompress) เส้นประสาทที่ถูกกดทับ โดยการผ่าตัดนำสิ่งที่กดทับเส้นประสาทออกจากสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบลง (Spinal Stenosis) เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Disc Herniation) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เป็นการผ่าตัดแบบไม่ต้องใส่เหล็กเพื่อยึดกระดูกสันหลัง หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะสามารถเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังปล้องนั้นๆ ได้ตามปกติ

  2. การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาทและเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion)

    เป็นการผ่าตัดเพื่อระบาย (Decompress) เส้นประสาทที่ถูกกดทับและใส่เหล็กเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเข้าด้วยกัน การผ่าตัดวิธีนี้ เป็นการผ่าตัดที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังจากโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และมีความไม่มั่นคง (Instability) ของกระดูกสันหลังปล้องนั้นๆ ร่วมด้วย เช่น มีความผิดรูปของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเคลื่อน หลังคด หรือหลังโก่งผิดรูป เป็นต้น

เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน

  1. การผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบดั้งเดิม (Conventional Spine Surgery)

    การผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion)

    • การผ่าตัดกระดูกสันหลังเพื่อระบายโพรงเส้นประสาทและเชื่อมข้อ (Decompressive lumbar Laminectomy with Posterolateral Spinal Fusion – DLPL Fusion)
  2. เทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Spine Surgery)

    เป็นเทคนิคการผ่าตัดกระดูกสันหลังสมัยใหม่รูปแบบหนึ่ง ซึ่งข้อดีของเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก คือ เป็นการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่มีการรบกวนหรือทำลายกล้ามเนื้อบริเวณหลังน้อยกว่าการผ่าตัดแบบปกติ เสียเลือดน้อยลง เจ็บแผลผ่าตัดน้อยลง และการฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วมากขึ้น ตัวอย่างของการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ได้แก่

    1. 2.1 การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาท (Nerve Decompression)
      • การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทด้วยวิธีส่องกล้อง (Full-Endoscopic lumbar Discectomy – FED)
      • การผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังแบบใช้กล้องขยาย (Microscopic Lumbar Microdiscectomy)
    2. 2.2 การผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion)
      • การผ่าตัดเชื่อมข้อทางด้านหลังแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Transforaminal Lumbar Interbody fusion – MIS TLIF) เป็นการผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อแบบแผลเล็ก ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษ ทำให้ขนาดแผลเล็ก ลดการทำลายกล้ามเนื้อบริเวณหลัง จากการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล
      • การผ่าตัดเชื่อมข้อโดยผ่าตัดผ่านทางกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Anterior Lumbar Interbody Fusion – ALIF)
      • การผ่าตัดเชื่อมข้อผ่านด้านข้างของท้อง (Lateral Lumbar Interbody Fusion – LLIF)
  3. การผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยระบบนำทาง (Navigation and Robot Assisted Spine Surgery)

    เป็นเทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่ที่มีการนำระบบนำทางคอมพิวเตอร์ (Navigation system) มาช่วยในการผ่าตัดกระดูกสันหลัง มีข้อดี คือ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการใส่เหล็กหรืออุปกรณ์ต่างๆ บริเวณกระดูกสันหลังหรือกระดูกต้นคอ ลดโอกาสการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทบริเวณที่ผ่าตัด

ทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสมิติเวช

รู้จักกับคุณหมอภัทร อำนาจตระกูล

นายแพทย์ภัทร อำนาจตระกูล แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง มีประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 10 ปี ผ่านการผ่าตัดมาไม่ต่ำกว่า 100-120 เคสต่อปี ถือวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ศึกษาต่อด้านกระดูกสันหลังจากประเทศเยอรมนี

มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการผ่าตัดส่องกล้องกระดูกสันหลังโดยเทคนิคแผลเล็กเจ็บน้อย รวมถึงมีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมอุบัติเหตุบาดเจ็บทางกระดูกอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอาจารย์แพทย์ให้กับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้านสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ รวมถึงเคยมีงานวิจัยเรื่องไขสันหลังบาดเจ็บเฉียบพลันและตีพิมพ์สู่สาธารณะอีกด้วย

คุณสามารถทำนัดวิดีโอคอลคุยกับคุณหมอทางออนไลน์ได้ทันที หากอยู่ในเวลาทำการของแพทย์ หรือเลือกปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ

ห้องผ่าตัด Critical Care Complex (CCC) นวัตกรรมการผ่าตัดยุคใหม่

การตรวจคัดกรองก่อนผ่าตัด (COVID-19 Screening)

เพิ่มความมั่นใจในการผ่าตัดให้ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19 โดยมีบริการตรวจหาเชื้อก่อโรค COVID-19 ก่อนการผ่าตัดในผู้ป่วยทุกราย และบริการตรวจฟรีในทุกการผ่าตัด ที่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ กรุณานัดหมายล่วงหน้าและตรวจก่อนผ่าตัด 1-2 วัน

มาตรฐานป้องกันไวรัส COVID-19 ในโรงพยาบาลสมิติเวช

มาสมิติเวช สบายใจได้ในทุกการสัมผัส เพราะเราใช้เทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UVC ที่ช่วยลดการปนเปื้อนและลดโอกาสในการติดเชื้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% โดยเราใช้เทคโนโลยีนี้ฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นผิวที่ได้รับการสัมผัสเป็นประจำ เช่น ห้องพักผู้ป่วย เตียงผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ห้องน้ำ เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์อื่นๆ

บริการ Samitivej PACE ติดตามคนไข้ทุกสถานการณ์ผ่าตัด

เพราะ #เราไม่อยากให้ใครกังวล โรงพยาบาลสมิติเวชจึงมีบริการ Samitivej PACE ระบบติดตามทุกสถานะการผ่าตัด ช่วยให้เราสามารถรู้สถานะคนไข้ว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนใด เช่น กำลังอยู่ในห้องผ่าตัดหรือห้องพักฟื้น โดยไม่ว่าญาติผู้ป่วยจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าไปดูสถานะการผ่าตัดได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านมือถือ เพียงแอดไลน์ @Samitivej และรับรหัสการเข้าใช้งาน

บริการ Samitivej PROMPT พร้อมอยู่ข้างคุณทุกเวลา เมื่อพักรักษาในโรงพยาบาล

ด้วยระบบติดตามแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยใน แสดงข้อมูลกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย รายชื่อทีมแพทย์และผู้ดูแล พร้อมระบบฝากข้อความถึงแพทย์ที่ให้การรักษา รวมถึงให้ผู้ป่วยเลือกเวลางดรบกวนได้ และยังมีการแสดงค่ารักษาพยาบาลด้วย แอดมิดเมื่อไหร่ ก็อุ่นใจได้ เพียงแจ้งความประสงค์การใช้ระบบกับพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลท่าน

หมายเหตุ: เฉพาะแพทย์และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าถึงแอปพลิเคชันนี้