การรักษาโรคปวดหลัง (Back pain) เป็นไปตามสาเหตุของอาการปวดและการวินิจฉัย เมื่อมีอาการปวดหลังทั่วไป ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองเบื้องต้น เช่น การพักหรือลดการใช้งานกระดูกสันหลัง การควบคุมอาการปวดด้วยยาแก้ปวดตามอาการ การทำกายภาพพื้นฐานเบื้องต้น เช่น การประคบร้อน และยืดกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวด
อย่างไรก็ตาม หลังจากการดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วพบว่าอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดหลังที่มีสัญญานเตือนในทางที่ไม่ดี (Red Flag Signs) ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาโรคปวดหลังแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ การรักษาแบบไม่ผ่าตัด และการรักษาแบบผ่าตัด
- อาการปวดหลัง มีกี่แบบ
- Red Flag Signs อาการปวดหลังแบบไหนอันตราย ต้องรีบพบแพทย์
- การตรวจวินิฉัยโรคปวดหลัง
- วิธีรักษาอาการปวดหลัง แบบไม่ผ่าตัด
- วิธีรักษาด้วยการ ‘ผ่าตัดหลัง’ และเทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน
- ทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสมิติเวช
- ห้องผ่าตัด Critical Care Complex (CCC) นวัตกรรมการผ่าตัดยุคใหม่
- การตรวจคัดกรองก่อนผ่าตัด (COVID-19 Screening)
- บริการ Samitivej PACE ติดตามคนไข้ทุกสถานะการผ่าตัด
- บริการ Samitivej PROMPT พร้อมอยู่ข้างคุณทุกเวลา เมื่อพักรักษาในโรงพยาบาล
- ผ่าตัดหลัง ผ่าตัดกระดูกสันหลัง ราคาเท่าไหร่ ใช้สิทธิประกันภัยได้หรือไม่
อาการปวดหลัง มีกี่แบบ
ถ้าแบ่งตามช่วงเวลาของอาการ อาการปวดหลัง ได้แก่
- ปวดฉับพลัน (Acute: ปวดหลังต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์)
- กึ่งเฉียบพลัน (Subacute: ปวดหลังต่อเนื่อง 6-12 สัปดาห์)
- ปวดเรื้อรัง (Chronic: ปวดหลังต่อเนื่องนานกว่า 12 สัปดาห์)
Red Flag Signs อาการปวดหลังแบบไหนอันตราย ต้องรีบพบแพทย์
- ปวดหลังต่อเนื่อง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า 4 สัปดาห์
- ปวดหลังที่เกิดจากอุบัติเหตุรุนแรง เช่น อุบัติเหตุจราจร ตกจากที่สูง
- ปวดหลังร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาท เช่น ปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงขา ชาขา หรืออ่อนแรงของขา
- ปวดหลังร่วมกับการควบคุมการขับถ่ายที่เสียไป เช่น สูญเสียการกลั้นอุจจาระ/ปัสสาวะ
- ปวดหลังร่วมกับอาการไข้ น้ำหนักลด
ถ้าคุณเริ่มมีอาการปวดหลังแบบ Red Flag Signs แล้ว อย่าปล่อยทิ้งไว้ คุณสามารถทำนัดวิดีโอคอลคุยกับคุณหมอทางออนไลน์ได้ทันที หากอยู่ในเวลาทำการของแพทย์ หรือเลือกปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ
 
			การตรวจวินิจฉัยโรคปวดหลัง
การวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการปวดหลัง ถือเป็นหัวใจสำคัญขั้นแรกในการรักษาโรคปวดหลังให้ประสบผลสำเร็จ การวินิจฉัยโรคปวดหลังมีวิธีการทางการแพทย์ดังนี้
- การซักประวัติ ประวัติและลักษณะอาการปวด ระยะเวลา ตำแหน่งที่ปวดเช่น ปวดหลังช่วงล่าง บริเวณช่วงเอว ปวดกลางหลัง ปวดสะบักจนถึงคอ อาการแสดงร่วม ประวัติการบาดเจ็บ ประวัติการรักษา รวมถึงภาวะโรคประจำตัว เป็นต้น
- 
					การตรวจร่างกาย 
					- ตรวจตำแหน่งที่มีอาการปวด ตรวจการเคลื่อนไหว ความยืนหยุ่น ความผิดรูปของกระดูกสันหลัง
- การตรวจการทำงานของระบบประสาท ได้แก่การตรวจความรู้สึก ตรวจกำลังของกล้ามเนื้อ การตรวจความไวต่อการกระตุ้นระบบประสาท (Reflex)
 
- 
					การส่งตรวจทางห้องปฎิบัติการ 
					- การตรวจ X-ray แบบปกติ ใช้ประเมินความผิดรูปของกระดูกหลัง ประเมินการหักของกระดูก
- การตรวจ X-ray พิเศษ เช่น CT Scan หรือ MRI โดยเครื่อง MRI รุ่น 3.0 Tesla ที่มีเสียงเบาลง 35-50% และ Scan เร็วขึ้น 25-35% ใช้ประเมินภาวะการตีบของโพรงเส้นประสาท ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท การติดเชื้อ หรือเนื้องอกของกระดูกสันหลัง
 
 
				อย่าปล่อยให้อาการปวดหลังรบกวนคุณภาพชีวิต เลือกปรึกษาออนไลน์ หรือรับคำปรึกษาที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ
วิธีรักษาอาการปวดหลัง แบบไม่ผ่าตัด
เป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เพื่อลดอาการปวดเป็นหลัก (Pain Management) ได้แก่
- 
					การรักษาด้วยยา
					ยาที่เหมาะสม ได้แก่ ยาลดอาการปวดและการอักเสบของกล้ามเนื้อ (NSAIDS) ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาสำหรับลดอาการปวดจากปลายประสาท อย่างไรก็ดี การให้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ใช้ยาชนิดอื่นๆ อยู่เป็นประจำ ควรคำนึงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการรับประทานกลุ่มยาแก้ปวดด้วย 
- 
					การทำกายภาพบำบัด
					เป็นหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาโรคปวดหลังแบบไม่ผ่าตัด เช่น การประคบร้อน การทำ Ultrasound, Laser, Shockwave Therapy, การบริหารกล้ามเนื้อที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดอาการปวดหลังในอนาคต (ดูข้อมูลเพิ่มเติม ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด ครบวงจร โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมทีมนักกายภาพบำบัดที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์) 
- 
					การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงหลัง (Back Support or Brace)
					การใส่อุปกรณ์ช่วยพยุงหลังสำหรับอาการปวดหลัง มักมีประโยขน์ในระยะสั้น สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายมากขึ้น อาการปวดลดลง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้สำหรับพยุงหลังในผู้ป่วยหลังผ่าตัดกระดูกสันหลังได้อีกด้วย 
- 
					การทำหัตถการบริเวณกระดูกสันหลัง
					เช่น การฝังเข็ม การฉีดยาบล็อกกล้ามเนื้อ (Trigger Point) การฉีดยาบล็อกข้อต่อ Facet การฉีดยาเข้าโพรงเส้นประสาท (Epidural Steroid Injection) โดยประโยชน์ของการทำหัตถการ คือ ลดอาการปวด และช่วยยืนยันการวินิจฉัย ซึ่งการทำหัตถการต่างๆ เหล่านี้ เป็นการรักษาโรคปวดหลังแบบไม่ผ่าตัดที่ได้ผลดี มีความเสี่ยงน้อย (สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษากับแพทย์เฉพาะทางได้ที่ ศูนย์กระดูก ข้อ กระดูกสันหลัง และการแพทย์กีฬา) 
- 
					แพทย์ทางเลือก
					เช่น Chiropractor เป็นการปรับสมดุลของกระดูกสันหลังเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังและลดอาการปวด หรือ การฝังเข็ม การนวดกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ 
วิธีรักษาด้วยการ ‘ผ่าตัดหลัง’ และเทคโนโลยีการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน
การรักษาอาการปวดหลังด้วยวิธีการผ่าตัด อาจพิจารณาผ่าตัดในผู้ป่วยที่อาการไม่ทุเลาจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดเป็นเวลาอย่างน้อย 6-12 สัปดาห์ หรือในผู้ป่วยที่มีการทำงานของเส้นประสาทที่เสียไป เช่น กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง การทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดควบคุมการขับถ่ายเสียไป
ทางเลือกในการรักษาแบบผ่าตัด การพิจารณาทางเลือกในการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปแบ่งการผ่าตัดกระดูกสันหลังออกเป็น 2 กรณี ได้แก่
- 
					การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาท (Nerve Decompression)
					เป็นการผ่าตัดเพื่อระบาย (Decompress) เส้นประสาทที่ถูกกดทับ โดยการผ่าตัดนำสิ่งที่กดทับเส้นประสาทออกจากสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบลง (Spinal Stenosis) เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Disc Herniation) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีนี้ เป็นการผ่าตัดแบบไม่ต้องใส่เหล็กเพื่อยึดกระดูกสันหลัง หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะสามารถเคลื่อนไหวกระดูกสันหลังปล้องนั้นๆ ได้ตามปกติ 
- 
					การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาทและเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion)
					เป็นการผ่าตัดเพื่อระบาย (Decompress) เส้นประสาทที่ถูกกดทับและใส่เหล็กเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเข้าด้วยกัน การผ่าตัดวิธีนี้ เป็นการผ่าตัดที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังจากโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) และมีความไม่มั่นคง (Instability) ของกระดูกสันหลังปล้องนั้นๆ ร่วมด้วย เช่น มีความผิดรูปของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเคลื่อน หลังคด หรือหลังโก่งผิดรูป เป็นต้น   
เครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน
- 
					การผ่าตัดกระดูกสันหลังแบบดั้งเดิม (Conventional Spine Surgery)
					การผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion) - การผ่าตัดกระดูกสันหลังเพื่อระบายโพรงเส้นประสาทและเชื่อมข้อ (Decompressive lumbar Laminectomy with Posterolateral Spinal Fusion – DLPL Fusion)
 
- 
					เทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Spine Surgery)
					เป็นเทคนิคการผ่าตัดกระดูกสันหลังสมัยใหม่รูปแบบหนึ่ง ซึ่งข้อดีของเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก คือ เป็นการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่มีการรบกวนหรือทำลายกล้ามเนื้อบริเวณหลังน้อยกว่าการผ่าตัดแบบปกติ เสียเลือดน้อยลง เจ็บแผลผ่าตัดน้อยลง และการฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วมากขึ้น ตัวอย่างของการผ่าตัดแบบแผลเล็ก ได้แก่ - 
							2.1 การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาท (Nerve Decompression)
							- การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทด้วยวิธีส่องกล้อง (Full-Endoscopic lumbar Discectomy – FED)
- การผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังแบบใช้กล้องขยาย (Microscopic Lumbar Microdiscectomy)
   
- 
							2.2 การผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อ (Nerve Decompression and Fusion)
							- การผ่าตัดเชื่อมข้อทางด้านหลังแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive Transforaminal Lumbar Interbody fusion – MIS TLIF) เป็นการผ่าตัดระบายโพรงเส้นประสาทและใส่เหล็กเชื่อมข้อแบบแผลเล็ก ด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษ ทำให้ขนาดแผลเล็ก ลดการทำลายกล้ามเนื้อบริเวณหลัง จากการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล
- การผ่าตัดเชื่อมข้อโดยผ่าตัดผ่านทางกล้ามเนื้อหน้าท้อง (Anterior Lumbar Interbody Fusion – ALIF)
- การผ่าตัดเชื่อมข้อผ่านด้านข้างของท้อง (Lateral Lumbar Interbody Fusion – LLIF)
 
 
- 
							2.1 การผ่าตัดเพื่อระบายโพรงเส้นประสาท (Nerve Decompression)
							
- 
					การผ่าตัดกระดูกสันหลังด้วยระบบนำทาง (Navigation and Robot Assisted Spine Surgery)
					เป็นเทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่ที่มีการนำระบบนำทางคอมพิวเตอร์ (Navigation system) มาช่วยในการผ่าตัดกระดูกสันหลัง มีข้อดี คือ ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการใส่เหล็กหรืออุปกรณ์ต่างๆ บริเวณกระดูกสันหลังหรือกระดูกต้นคอ ลดโอกาสการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทบริเวณที่ผ่าตัด 
ทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลสมิติเวช
รู้จักกับคุณหมอภัทร อำนาจตระกูล
นายแพทย์ภัทร อำนาจตระกูล แพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง มีประสบการณ์ยาวนานมากกว่า 10 ปี ผ่านการผ่าตัดมาไม่ต่ำกว่า 100-120 เคสต่อปี ถือวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ศึกษาต่อด้านกระดูกสันหลังจากประเทศเยอรมนี
มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการผ่าตัดส่องกล้องกระดูกสันหลังโดยเทคนิคแผลเล็กเจ็บน้อย รวมถึงมีความเชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมอุบัติเหตุบาดเจ็บทางกระดูกอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอาจารย์แพทย์ให้กับนักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจำบ้านสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ รวมถึงเคยมีงานวิจัยเรื่องไขสันหลังบาดเจ็บเฉียบพลันและตีพิมพ์สู่สาธารณะอีกด้วย
คุณสามารถทำนัดวิดีโอคอลคุยกับคุณหมอทางออนไลน์ได้ทันที หากอยู่ในเวลาทำการของแพทย์ หรือเลือกปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพียงทำนัดและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ
การตรวจคัดกรองก่อนผ่าตัด (COVID-19 Screening)
เพิ่มความมั่นใจในการผ่าตัดให้ปลอดภัย ห่างไกล COVID-19 โดยมีบริการตรวจหาเชื้อก่อโรค COVID-19 ก่อนการผ่าตัดในผู้ป่วยทุกราย และบริการตรวจฟรีในทุกการผ่าตัด ที่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเข้ารับบริการ กรุณานัดหมายล่วงหน้าและตรวจก่อนผ่าตัด 1-2 วัน
มาตรฐานป้องกันไวรัส COVID-19 ในโรงพยาบาลสมิติเวช
มาสมิติเวช สบายใจได้ในทุกการสัมผัส เพราะเราใช้เทคโนโลยีฆ่าเชื้อโรคด้วยแสง UVC ที่ช่วยลดการปนเปื้อนและลดโอกาสในการติดเชื้อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% โดยเราใช้เทคโนโลยีนี้ฆ่าเชื้อโรคบริเวณพื้นผิวที่ได้รับการสัมผัสเป็นประจำ เช่น ห้องพักผู้ป่วย เตียงผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ห้องน้ำ เครื่องมือทางการแพทย์ และอุปกรณ์อื่นๆ
บริการ Samitivej PACE ติดตามคนไข้ทุกสถานการณ์ผ่าตัด
เพราะ #เราไม่อยากให้ใครกังวล โรงพยาบาลสมิติเวชจึงมีบริการ Samitivej PACE ระบบติดตามทุกสถานะการผ่าตัด ช่วยให้เราสามารถรู้สถานะคนไข้ว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนใด เช่น กำลังอยู่ในห้องผ่าตัดหรือห้องพักฟื้น โดยไม่ว่าญาติผู้ป่วยจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าไปดูสถานะการผ่าตัดได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านมือถือ เพียงแอดไลน์ @Samitivej และรับรหัสการเข้าใช้งาน
บริการ Samitivej PROMPT พร้อมอยู่ข้างคุณทุกเวลา เมื่อพักรักษาในโรงพยาบาล
ด้วยระบบติดตามแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยใน แสดงข้อมูลกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย รายชื่อทีมแพทย์และผู้ดูแล พร้อมระบบฝากข้อความถึงแพทย์ที่ให้การรักษา รวมถึงให้ผู้ป่วยเลือกเวลางดรบกวนได้ และยังมีการแสดงค่ารักษาพยาบาลด้วย แอดมิดเมื่อไหร่ ก็อุ่นใจได้ เพียงแจ้งความประสงค์การใช้ระบบกับพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลท่าน
หมายเหตุ: เฉพาะแพทย์และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าถึงแอปพลิเคชันนี้
